วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554
พบดาวแคระขาวคู่
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบดาวคู่ใหม่ 12 คู่ ที่ครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้กำลังหลอมรวมเข้าเป็นดวงเดียวกัน และอาจระเบิดออกเป็นซูเปอร์โนวาในอนาคตอันใกล้นี้
นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบในครั้งนี้เป็นคณะเดียวกับที่เคยพบดาวฤกษ์ความเร็วสูงดวงแรกที่กำลังหลุดออกจากดาราจักรทางช้างเผือก และการค้นพบครั้งนี้ ก็เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ เพราะพบในขณะที่กำลังค้นหาสิ่งอื่นอยู่
ดาวคู่ที่พบในครั้งนี้ไม่ใช่ดาวคู่ธรรมดาเพราะทั้งหมดเป็นดาวแคระขาวคู่ ดาวแคระขาวเป็นแกนของดาวฤกษ์ประเภทดวงอาทิตย์ที่สิ้นอายุขัยไปแล้ว ขนาดเล็ก แต่ร้อนมาก ดาวแคระขาวที่มีมวลใกล้เคียงดวงอาทิตย์อาจมีขนาดเพียงประมาณโลกเท่านั้น จึงมีความหนาแน่นสูงมาก เนื้อของดาวแคระขาวหนึ่งช้อนชาอาจหนักถึงกว่าตัน
เท่านั้นยังแปลกไม่พอนักดาราศาสตร์ยังพบว่าดาวแคระขาวคู่เหล่านี้แต่ละคู่โคจรรอบกันเองด้วยระยะห่างน้อยกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ ยิ่งกว่านั้น แต่ละดวงก็มีมวลน้อยกว่าดาวแคระขาวทั่วไป นั่นคือมีมวลประมาณหนึ่งในห้าของดวงอาทิตย์ และองค์ประกอบของดาวก็ประกอบด้วยฮีเลียมเกือบทั้งหมด ในขณะที่ดาวแคระขาวทั่วไปมักมีองค์ประกอบเป็นคาร์บอนและออกซิเจน
คาร์ลอสอัลเลนเด ปรีเอโต จากสถาบันฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งหมู่เกาะคะเนรีในสเปนอธิบายว่า การที่ดาวแคระขาวพวกนี้โคจรรอบกันด้วยระยะใกล้มาก ทำให้แรงน้ำขึ้นลงมหาศาลฉีกทึ้งเนื้อดาวออกไปมากจนทำให้ดาวแคราะขาวยิ่งแคระลงไปอีก
ที่น่าสนใจก็คือการที่ดาวแคระขาวพวกนี้โคจรกันในระยะใกล้มาก ทำให้ปริภูมิเวลา (spacetime) โดยรอบของดาวกระเพื่อมและแผ่ออกไปเป็นคลื่น ดังที่รู้จักกันในชื่อ คลื่นความโน้มถ่วง คลื่นนี้ได้นำพลังงานการโคจรออกไปด้วย ทำให้ดาวแคระขาวทั้งสองยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้น คาดว่าราวครึ่งหนึ่งของระบบดาวแคระขาวคู่ที่พบนี้ จะจบลงด้วยการชนและหลอมรวมกัน คู่ที่ใกล้กันมากที่สุดที่พบโคจรรอบกันครบรอบในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง คาดว่าคู่นี้จะหลอมรวมกันภายในเวลาอีก 100 ล้านปีข้างหน้า
เมื่อดาวแคระขาวสองดวงรวมตัวกัน มวลรวมของทั้งสองจะเกินค่าวิกฤต ทำให้ระเบิดออกเป็นซูเปอร์โนวาชนิด 1 เอ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดาวแคระขาวชนกันน่าจะเป็นต้นกำเนิดแบบหนึ่งของซูเปอร์โนวาจาง ซึ่งเป็นซูเปอร์โนวาหายากชนิดหนึ่ง ที่มีกำลังส่องสว่างน้อยกว่าซูเปอร์โนวาชนิด 1 เอทั่วไปถึง 100 เท่า และสาดมวลสารออกมาน้อยกว่าถึงห้าเท่า สมมุติฐานนี้น่าสนใจ เพราะอัตราเกิดดาวแคระขาวชนกันกับอัตราการเกิดซูเปอร์โนวาจางเท่ากัน นั่นคือเกิดขึ้นทุก 2,000 ปี แม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าดาวแคระขาวชนกันจะทำให้เกิดซูเปอร์โนวาจางจริง แต่อัตราเกิดที่เท่ากันก็น่าคิดอย่างยิ่ง
นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบในครั้งนี้
ดาวคู่ที่พบในครั้งนี้ไม่ใช่ดาวคู่ธรรมดา
เท่านั้นยังแปลกไม่พอ
คาร์ลอส
ที่น่าสนใจก็คือ
เมื่อดาวแคระขาวสองดวงรวมตัวกัน มวลรวมของทั้งสองจะเกินค่าวิกฤต ทำให้ระเบิดออกเป็นซูเปอร์โนวาชนิด 1 เอ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดาวแคระขาวชนกันน่าจะเป็นต้นกำเนิดแบบหนึ่งของซูเปอร์โนวาจาง ซึ่งเป็นซูเปอร์โนวาหายากชนิดหนึ่ง ที่มีกำลังส่องสว่างน้อยกว่าซูเปอร์โนวาชนิด 1 เอทั่วไปถึง 100 เท่า และสาดมวลสารออกมาน้อยกว่าถึงห้าเท่า สมมุติฐานนี้น่าสนใจ เพราะอัตราเกิดดาวแคระขาวชนกันกับอัตราการเกิดซูเปอร์โนวาจางเท่ากัน นั่นคือเกิดขึ้นทุก 2,000 ปี แม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าดาวแคระขาวชนกันจะทำให้เกิดซูเปอร์โนวาจางจริง แต่อัตราเกิดที่เท่ากันก็น่าคิดอย่างยิ่ง
ที่มา:
- Astronomers discover merging star systems that might explode - astronomy.com
ฝนดาวตกในปี 2554
ดาวตกเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เรามีโอกาสเห็นดาวตกได้ทุกคืน แสงของดาวตกเกิดจากการที่สะเก็ดดาว (meteoroid) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของดาวหางและดาวเคราะห์น้อยเคลื่อนเข้าสู่บรรยากาศโลก หากสังเกตจากสถานที่ซึ่งท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีเมฆหมอก แสงจันทร์ และแสงไฟฟ้ารบกวน โดยทั่วไปสามารถมองเห็นดาวตกบนท้องฟ้าได้เฉลี่ยราว 6 ดวงต่อชั่วโมง ดาวตกที่สว่างมาก ๆ เรียกว่าลูกไฟ (fireball)
เส้นทางที่สะเก็ดดาวจำนวนมากเคลื่อนที่เป็นสายไปในแนวเดียวกันในอวกาศเรียกว่าธารสะเก็ดดาว (meteoroid stream) แรงโน้มถ่วงของวัตถุต่าง ๆ ในระบบสุริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวเคราะห์ ส่งผลรบกวนต่อธารสะเก็ดดาว เมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาว ซึ่งเกิดขึ้นหลายช่วงของปี จะทำให้เห็นดาวตกหลายดวงดูเหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันบนท้องฟ้า (เป็นมุมมองในเชิงทัศนมิติ ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นรางรถไฟบรรจบกันที่ขอบฟ้า) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าฝนดาวตก (meteor shower) ในรอบปีมีฝนดาวตกหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีลักษณะและจำนวนความถี่แตกต่างกันตามแต่องค์ประกอบและความเร็วของสะเก็ดดาว ฝนดาวตกบางกลุ่มอาจมีเพียงไม่กี่ดวงต่อชั่วโมง แต่ยังก็เรียกว่าฝนดาวตกดาวตกจากฝนดาวตกสามารถปรากฏในบริเวณใดก็ได้ทั่วท้องฟ้า แต่เมื่อลากเส้นย้อนไปตามแนวของดาวตก จะไปบรรจบกันที่จุดหนึ่ง เรียกจุดนั้นว่าจุดกระจายฝนดาวตก (radiant) ชี่อฝนดาวตกมักตั้งตามกลุ่มดาวหรือดาวที่อยู่บริเวณจุดกระจายนี้ แสงจันทร์และแสงจากตัวเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสังเกตดาวตก จึงควรหาสถานที่ที่ฟ้ามืด ยิ่งฟ้ามืดก็จะยิ่งมีโอกาสเห็นดาวตกมากขึ้น
การสังเกตดาวตกด้วยตาเปล่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ เพียงแต่ต้องเตรียมตัวรับกับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมตามสถานการณ์ ก่อนสังเกตดาวตกต้องรอให้ดวงตาของเราชินกับความมืดเสียก่อนซึ่งใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที นอกจากการสังเกตด้วยตาเปล่า นักดาราศาสตร์ยังใช้กล้องโทรทรรศน์ กล้องสองตา การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ และการสังเกตด้วยคลื่นวิทยุ แม้ว่าขอบเขตภาพของกล้องโทรทรรศน์และกล้องสองตาจะแคบกว่าการดูด้วยตาเปล่า แต่ก็ช่วยให้มองเห็นดาวตกที่จาง ๆ ได้ และมักใช้หาตำแหน่งที่แม่นยำของจุดกระจาย
ภาพถ่ายดาวตกช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณตำแหน่งที่แม่นยำของมันได้ เลนส์ปกติมีศักยภาพในการจับภาพดาวตกที่สว่างกว่าโชติมาตร 1 ภาพดาวตกดวงเดียวกันจากจุดสังเกตการณ์หลายจุด สามารถใช้คำนวณหาเส้นทางการโคจรของสะเก็ดดาวในอวกาศ การบันทึกภาพดาวตกด้วยกล้องถ่ายวิดีโอก็ใช้ในการศึกษาดาวตกด้วยเช่นกัน แต่ต้องมีอุปกรณ์ช่วยเพิ่มความเข้มของแสง ควันค้าง (persistent train) คือ ปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนควันลอยค้างบนท้องฟ้าตรงจุดที่ดาวตกหายวับไป ศัพท์คำนี้ยังไม่มีการใช้แพร่หลายในภาษาไทย จึงขอเรียกว่าควันค้างตามลักษณะที่ปรากฏไปพลางก่อน ควันค้างเกิดจากการเรืองแสงในบรรยากาศชั้นบน โดยมีดาวตกเป็นตัวการทำให้โมเลกุลในบรรยากาศแตกตัวเป็นไอออน ความเข้มและอายุของควันค้างขึ้นอยู่กับขนาด องค์ประกอบ และความเร็วของดาวตก ลูกไฟซึ่งเกิดจากสะเก็ดดาวขนาดใหญ่มักก่อให้เกิดควันค้างอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่าง จางลง และสลายตัวไปในที่สุด
ฝนดาวตกในปี 2554 | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|
ฝนดาวตก | ช่วงที่ตก | คืนที่มีมากที่สุด | เวลาที่เริ่มเห็น (ประมาณ) | อัตราสูงสุด ในภาวะอุดมคติ (ดวง/ชั่วโมง) | อัตราสูงสุด ในประเทศไทย (ดวง/ชั่วโมง) | หมายเหตุ |
ควอดแดรนต์ | 28 ธ.ค. - 12 ม.ค. | 3/4 ม.ค. | 02:00 น. | 120 | 51 | - |
พิณ | 16-25 เม.ย. | 22/23 เม.ย. | 22:00 น. | 18 | 5 | แสงจันทร์รบกวน |
อีตาคนแบกหม้อน้ำ | 19 เม.ย. - 28 พ.ค. | 7/8 พ.ค. | 02:00 น. | 85 | 20 | - |
เดลตาคนแบกหม้อน้ำใต้ | 12 ก.ค. - 19 ส.ค. | 28/29 ก.ค. | 21:00 น. | 16 | 15 | - |
เพอร์ซิอัส | 17 ก.ค. - 24 ส.ค. | 12/13 ส.ค. | 22:30 น. | 100 | 44 | แสงจันทร์รบกวน |
นายพราน | 2 ต.ค. - 7 พ.ย. | 22/23 ต.ค. | 22:30 น. | 30 | 19 | แสงจันทร์รบกวนหลังตี 2 |
สิงโต | 10-23 พ.ย. | 16/17 พ.ย. | 00:30 น. | 20 | 2 | แสงจันทร์รบกวน |
คนคู่ | 7-17 ธ.ค. | 14/15 ธ.ค. | 20:00 น. | 120 | 30 | แสงจันทร์รบกวน |
หมายเหตุ
- ภาวะอุดมคติหมายถึงจุดกระจายฝนดาวตกอยู่ที่จุดเหนือศีรษะและท้องฟ้ามืดจนเห็นดาวได้ถึงโชติมาตร +6.5
- ตัวเลขในคอลัมน์อัตราสูงสุดในประเทศไทย คิดผลจากแสงจันทร์รบกวนแล้ว แต่ยังไม่คิดผลจากมลพิษทางแสง การสังเกตดาวตกในเมืองใหญ่จะมีจำนวนดาวตกลดลงจากตัวเลขในตารางนี้หลายเท่า
- คอลัมน์ "คืนที่มีมากที่สุด" เครื่องหมาย / ใช้คั่นคืนวันแรกกับเช้ามืดของอีกวันหนึ่ง เช่น 3/4 หมายถึงคืนวันที่ 3 ถึงเช้ามืดวันที่ 4
- ดัดแปลงจากข้อมูลฝนดาวตกโดยองค์การอุกกาบาตสากล (International Meteor Organization - IMO) และ Meteor Shower Flux Estimator โดย Peter Jenniskens
ฝนดาวตกควอดแดรนต์
ฝนดาวตกก่อนรุ่งอรุณ หรือฝนดาวตกควอดแดรนท์
ฝนดาวตกควอดแดรนต์ตั้งชื่อตามกลุ่มดาวควอดแดรนต์ (Quadrans Muralis) ซึ่งเป็นกลุ่มดาวเก่า ปัจจุบันไม่มีแล้ว จุดกระจายดาวตกอยู่บริเวณตรงกลางระหว่างกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส คนเลี้ยงสัตว์ และมังกร ฝนดาวตกควอดแดรนต์มีจำนวนสูงสุดราววันที่ 3-4 มกราคม ของทุกปี ประเทศที่เห็นฝนดาวตกกลุ่มนี้ได้ดีที่สุดคือประเทศในละติจูดสูง ๆ ของซีกโลกเหนือ
นักดาราศาสตร์ค้นพบฝนดาวตกควอดแดรนต์เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ไม่พบว่าวัตถุใดคือต้นกำเนิดของมัน จนกระทั่ง ค.ศ. 2003 เมื่อมีการค้นพบดาวเคราะห์น้อย 2003 อีเอช 1 (2003 EH1) ซึ่งมีวงโคจรใกล้เคียงกับดาวตกที่มาจากฝนดาวตกกลุ่มนี้ และยังพบว่ามันอาจเป็นชิ้นส่วนหรือเป็นวัตถุเดียวกับดาวหาง C/1490 Y1 ที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์เมื่อปลาย ค.ศ. 1490 อัตราตกสูงสุดในภาวะอุดมคติของฝนดาวตกควอดแดรนต์สูงถึง 120 ดวงต่อชั่วโมง แต่มีช่วงเวลาสั้น แสดงว่าธารสะเก็ดดาวค่อนข้างแคบมากปีนี้คาดว่าโลกจะผ่านธารสะเก็ดดาวในช่วงเช้ามืดวันอังคารที่ 4 มกราคม 2554 ตามเวลาประเทศไทย ทำให้คาดหมายว่าประเทศแถบเอเชียตะวันออกจะสามารถสังเกตดาวตกจากฝนดาวตกกลุ่มนี้ได้ค่อนข้างมาก ประเทศไทยเริ่มตั้งแต่ตี 2 โดยอัตราตกจะต่ำมากในช่วงแรก หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เวลาที่น่าจะพบเห็นดาวตกได้มากที่สุดคือช่วง 04:30 - 05:30 น. ภายใต้ฟ้ามืด ในหนึ่งชั่วโมงนี้อาจนับได้ราว 50 ดวง หากอากาศหนาวควรเตรียมตัวให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัส
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัส (Perseid meteor shower) ดาวตกเกือบครึ่งหนึ่งของฝนดาวตกกลุ่มนี้สว่างมาก ส่วนใหญ่มีสีขาว-เหลือง
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัสหรือฝนดาวตกวันแม่ เป็นฝนดาวตกที่มีชื่อเสียงในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะในละติจูดสูง ๆ ทางเหนือ ซึ่งจุดกระจายดาวตกจะขึ้นไปอยู่สูงเกือบกลางฟ้าในเวลาเช้ามืด อัตราการเกิดดาวตกสูงถึงกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง และเกิดในฤดูร้อนซึ่งท้องฟ้าโปร่ง แต่การสังเกตฝนดาวตกกลุ่มนี้ในประเทศไทยมักพบอุปสรรคจากเมฆเพราะเป็นฤดูฝน
สะเก็ดดาวในฝนดาวตกเพอร์ซิอัสมาจากดาวหางสวิฟต์-ทัตเทิล (109P/Swift-Tuttle) ดาวหางดวงนี้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุดเมื่อ ค.ศ. 1992 มีคาบ 130 ปี เป็นดาวหางที่มีแนวโคจรผ่านใกล้โลก จุดกระจายของฝนดาวตกเพอร์ซิอัสอยู่บริเวณกึ่งกลางระหว่างกลุ่มดาวเพอร์ซิอัสกับแคสซิโอเปีย เริ่มเห็นได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง แต่ยังมีดาวตกน้อย จะสังเกตได้ดีหลังเที่ยงคืนและดีที่สุดในช่วงที่จุดกระจายดาวตกอยู่สูงซึ่งตรงกับช่วง 1-2 ชั่วโมงก่อนท้องฟ้าสว่างในเวลาเช้ามืด ความเร็วขณะเข้าสู่บรรยากาศโลกของดาวตกกลุ่มนี้ประมาณ 59 กิโลเมตร/วินาที
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัสในปี 2554 มีแสงจันทร์รบกวน แต่อาจพอจะเห็นดาวตกดวงที่สว่าง ๆ ได้บ้างหากท้องฟ้าโปร่ง วิธีสังเกตที่แนะนำคือหันหลังให้ดวงจันทร์ หรือเลือกตำแหน่งที่มีอาคารบ้านเรือนหรือต้นไม้บังทิศที่ดวงจันทร์อยู่ เพื่อไม่ให้แสงจันทร์เข้าตา คาดว่ามีมากที่สุดในคืนวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม
ฝนดาวตกคนคู่
ฝนดาวตกคนคู่เกิดในฤดูหนาวที่ท้องฟ้าเปิดเป็นส่วนใหญ่และมีจำนวนมากหลายสิบดวงต่อชั่วโมง ปีนี้คาดว่าจะมีมากที่สุดในคืนวันอังคารที่ 13 ถึงเช้ามืดวันพุธที่ 14 ธันวาคม แต่แสงจากดวงจันทร์ที่สว่างเกือบเต็มดวงทำให้เห็นดาวตกได้น้อย จุดกระจายฝนดาวตกอยู่ใกล้ดาวคาสเตอร์ในกลุ่มดาวคนคู่ ฝนดาวตกคนคู่เกิดจากดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟทอน (3200 Phaethon) ซึ่งน่าจะเคยเป็นดาวหางมาก่อน สามารถสังเกตดาวตกได้ตลอดทั้งคืนโดยเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 2 ทุ่ม จนถึงเช้ามืด มักตกถี่ที่สุดในช่วงประมาณตี 2 ซึ่งเป็นเวลาที่จุดกระจายฝนดาวตกอยู่สูงกลางฟ้า
ฝนดาวตกในปี 2554
ดาวตกเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เรามีโอกาสเห็นดาวตกได้ทุกคืน แสงของดาวตกเกิดจากการที่สะเก็ดดาว (meteoroid) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของดาวหางและดาวเคราะห์น้อยเคลื่อนเข้าสู่บรรยากาศโลก หากสังเกตจากสถานที่ซึ่งท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีเมฆหมอก แสงจันทร์ และแสงไฟฟ้ารบกวน โดยทั่วไปสามารถมองเห็นดาวตกบนท้องฟ้าได้เฉลี่ยราว 6 ดวงต่อชั่วโมง ดาวตกที่สว่างมาก ๆ
เรียกว่าลูกไฟ (fireball)เส้นทางที่สะเก็ดดาวจำนวนมากเคลื่อนที่เป็นสายไปในแนวเดียวกันในอวกาเรียกว่าธารสะเก็ดดาว (meteoroid stream) แรงโน้มถ่วงของวัตถุต่าง ๆ ในระบบสุริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวเคราะห์ ส่งผลรบกวนต่อธารสะเก็ดดาว เมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาว ซึ่งเกิดขึ้นหลายช่วงของปี จะทำให้เห็นดาวตกหลายดวงดูเหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันบนท้องฟ้า (เป็นมุมมองในเชิงทัศนมิติ ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นรางรถไฟบรรจบกันที่ขอบฟ้า) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าฝนดาวตก (meteor shower) ในรอบปีมีฝนดาวตกหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีลักษณะและจำนวนความถี่แตกต่างกันตามแต่องค์ประกอบและความเร็วของสะเก็ดดาว ฝนดาวตกบางกลุ่มอาจมีเพียงไม่กี่ดวงต่อชั่วโมง แต่ยังก็เรียกว่าฝนดาวตก
ดาวตกจากฝนดาวตกสามารถปรากฏในบริเวณใดก็ได้ทั่วท้องฟ้า แต่เมื่อลากเส้นย้อนไปตามแนวของดาวตก จะไปบรรจบกันที่จุดหนึ่ง เรียกจุดนั้นว่าจุดกระจายฝนดาวตก (radiant) ชี่อฝนดาวตกมักตั้งตามกลุ่มดาวหรือดาวที่อยู่บริเวณจุดกระจายนี้ แสงจันทร์และแสงจากตัวเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสังเกตดาวตก จึงควรหาสถานที่ที่ฟ้ามืด ยิ่งฟ้ามืดก็จะยิ่งมีโอกาสเห็นดาวตกมากขึ้นการสังเกตดาวตกด้วยตาเปล่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ เพียงแต่ต้องเตรียมตัวรับกับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมตามสถานการณ์ ก่อนสังเกตดาวตกต้องรอให้ดวงตาของเราชินกับความมืดเสียก่อนซึ่งใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที นอกจากการสังเกตด้วยตาเปล่า นักดาราศาสตร์ยังใช้กล้องโทรทรรศน์ กล้องสองตา การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ และการสังเกตด้วยคลื่นวิทยุ แม้ว่าขอบเขตภาพของกล้องโทรทรรศน์และกล้องสองตาจะแคบกว่าการดูด้วยตาเปล่า แต่ก็ช่วยให้มองเห็นดาวตกที่จาง ๆ ได้ และมักใช้หาตำแหน่งที่แม่นยำของจุดกระจาย
ภาพถ่ายดาวตกช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณตำแหน่งที่แม่นยำของมันได้ เลนส์ปกติมีศักยภาพในการจับภาพดาวตกที่สว่างกว่าโชติมาตร 1 ภาพดาวตกดวงเดียวกันจากจุดสังเกตการณ์หลายจุด สามารถใช้คำนวณหาเส้นทางการโคจรของสะเก็ดดาวในอวกาศ การบันทึกภาพดาวตกด้วยกล้องถ่ายวิดีโอก็ใช้ในการศึกษาดาวตกด้วยเช่นกัน แต่ต้องมีอุปกรณ์ช่วยเพิ่มความเข้มของแสง ควันค้าง (persistent train) คือ ปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนควันลอยค้างบนท้องฟ้าตรงจุดที่ดาวตกหายวับไป ศัพท์คำนี้ยังไม่มีการใช้แพร่หลายในภาษาไทย จึงขอเรียกว่าควันค้างตามลักษณะที่ปรากฏไปพลางก่อน ควันค้างเกิดจากการเรืองแสงในบรรยากาศชั้นบน โดยมีดาวตกเป็นตัวการทำให้โมเลกุลในบรรยากาศแตกตัวเป็นไอออน ความเข้มและอายุของควันค้างขึ้นอยู่กับขนาด องค์ประกอบ และความเร็วของดาวตก ลูกไฟซึ่งเกิดจากสะเก็ดดาวขนาดใหญ่มักก่อให้เกิดควันค้างอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่าง จางลง และสลายตัวไปในที่สุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)